เปิดคำวินิจฉัย
"ยิ่งลักษณ์" คดีจำนำข้าว
จากกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา
ให้จำคุก 5 ปี น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ในคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยมีความผิดในเรื่องระบายข้าว
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรับจำนำข้าว โดยองค์คณะผู้พิพากษา มีมติ 8 ต่อ 1
เสียง โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียงที่เห็นว่า
น.ส. ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้กระทำความผิดและพิพากษายกฟ้องคือ นาย พิศล พิรุณ โดยความเห็นในการวิินิจฉัยคดีมีทั้งสิ้น 13
หน้า สรุปได้ดังนี้
โจทก์ระบุกฎหมายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดมา
2 ฉบับ คือ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ในหมวดความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดต่อ พรป.
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งบัญญัติว่า “ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่
หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
” สำหรับมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ก็บัญญัติทำนองเดียวกัน
เห็นว่า จากถ้อยคำในตัวบททั้งสองมาตรา
การกระทำผิดที่จะเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งสองมาตรานั้น
ผู้กระทำต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือ ต้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กล่าวคือ
ลำพังการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพียงอย่างเดียวนั้น
ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายสองมาตราดังกล่าว หากจะเป็นความผิดข้อเท็จจริงต้องฟังได้ว่า
ผู้กระทำมีมูลเหตุชักจูงใจ
หรือมีเจตนาพิเศษเพื่อจะให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหายด้วย หรือ
มิฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น
ก็ต้องเป็นไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
อันเป็นการกระทำ“ โดยทุจริต” ซึ่งมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษทั้งสองกรณี
ดังกล่าว ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง
หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยตรง
มิใช่เพียงเล็งเห็นว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือเล็งเห็นว่าน่าจะมีเจตนาทุจริตเท่านั้น
คดีนี้
จากการไต่สวนไม่ปรากฏว่ามีพยานหลักฐานใดที่พอจะบ่งชี้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการทุจริตในการระบายข้าว
ไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใด ที่พอจะชี้ให้เห็นว่าการทุจริตของบริษัท
สยามอินดิก้า
จำกัด
นั้น จำเลยมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
หรือเหตุที่จำเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวตามที่โจทก์ฟ้องเป็นเพราะจำเลยต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท
สยามอินดิก้า
ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดที่ส่อแสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับบริษัท สยามอินดิก้า
หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามอินดิก้า
ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า
จำเลยมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายให้แก่กลุ่มของบริษัท
สยามอินดิก้า จำกัด หรือนายอภิชาติ
การละเว้นไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของจำเลยตามฟ้อง
จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ
พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
********************************************************************************************************************